ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังกลายเป็นกระแสหลักในประเทศไทย เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การมี ที่ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้าน จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเจ้าของรถ EV ทุกคน เพราะช่วยเพิ่มความสะดวก ความปลอดภัย และความคุ้มค่าในระยะยาว
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกซื้อและติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้า รวมถึงค่าใช้จ่ายและข้อควรระวังที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน
ทำไมต้องมีที่ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้านแยก ณ ระนอง
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีสถานีชาร์จสาธารณะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ การมีที่ชาร์จในบ้านจะช่วยให้คุณ
-
ชาร์จได้สะดวกทุกเวลา ไม่ต้องเสียเวลาขับไปหาสถานี
-
ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่าย เพราะค่าไฟบ้านถูกกว่าการใช้สถานีสาธารณะ
-
มั่นใจในความปลอดภัย เนื่องจากอุปกรณ์ถูกออกแบบตามมาตรฐาน
-
ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ เพราะชาร์จด้วยกำลังไฟที่เหมาะสม
ประเภทของที่ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้านแยก ณ ระนอง
-
Portable Charger (เครื่องชาร์จแบบพกพา)
-
ใช้งานง่าย เพียงเสียบกับปลั๊กไฟบ้าน
-
เหมาะสำหรับพกพาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
-
ใช้เวลาชาร์จนาน ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน
-
Wallbox Charger (เครื่องชาร์จติดผนัง)
-
นิยมติดตั้งในบ้านหรือคอนโดมากที่สุด
-
กำลังชาร์จสูง 7kW–22kW ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง
-
มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ ปลอดภัยสูง และควบคุมผ่านแอปได้
-
Smart EV Charger (เครื่องชาร์จอัจฉริยะ)
ขั้นตอนการติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้านแยก ณ ระนอง
-
ตรวจสอบระบบไฟฟ้าในบ้าน
ต้องให้ช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตเข้ามาสำรวจ เพื่อดูว่ามิเตอร์และสายไฟรองรับกำลังชาร์จหรือไม่
-
เลือกกำลังไฟที่เหมาะสม
รถ EV ส่วนใหญ่รองรับ Wallbox Charger ขนาด 7kW ซึ่งเหมาะสำหรับการชาร์จข้ามคืน
-
เลือกตำแหน่งติดตั้ง
ควรติดตั้งใกล้ที่จอดรถ เดินสายไฟสะดวก และห่างจากความชื้นหรือน้ำท่วม
-
ติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ
การติดตั้งควรทำโดยบริษัทหรือตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรอง เพื่อความปลอดภัย
-
ทดสอบการใช้งาน
หลังติดตั้งเสร็จต้องมีการทดสอบระบบ ตรวจสอบการเดินสาย และทดสอบการชาร์จจริง
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้านแยก ณ ระนอง
ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับประเภทและกำลังของเครื่องชาร์จ รวมถึงโครงสร้างระบบไฟฟ้าในบ้าน โดยทั่วไปมีดังนี้
-
Wallbox Charger ราคาประมาณ 20,000–60,000 บาท
-
Smart EV Charger อาจสูงกว่า 40,000–80,000 บาท
-
ค่าแรงติดตั้งและอุปกรณ์ไฟฟ้าเสริม อยู่ที่ 10,000–30,000 บาท
-
หากต้องเพิ่มมิเตอร์หรือหม้อแปลง ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นอีก
ข้อควรระวังในการติดตั้ง
-
เลือกอุปกรณ์ที่ได้รับมาตรฐาน IEC, TIS หรือ CE
-
ติดตั้งในที่แห้ง หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำหรือแดดจัด
-
ควรมี เบรกเกอร์กันไฟรั่ว (RCD) และระบบตัดไฟอัตโนมัติ
-
ตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องชาร์จทุกปี
ประโยชน์ของการมีที่ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้านแยก ณ ระนอง
-
ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
-
เพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัย
-
สะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
-
ช่วยให้การเดินทางด้วยรถ EV ราบรื่นและมั่นใจมากขึ้น
แนวโน้มการใช้งานที่ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้านในประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ทั้งการสนับสนุนด้านภาษีและเงินอุดหนุน ทำให้จำนวนผู้ใช้ EV เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการ ติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้าน สูงขึ้นด้วย ผู้พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดใหม่ ๆ ก็เริ่มติดตั้ง EV Charger เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต
สรุป
การมี ที่ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้าน ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งานรถ EV แต่ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว หากคุณกำลังวางแผนซื้อรถไฟฟ้า ควรพิจารณาติดตั้ง Wallbox Charger ที่ได้มาตรฐาน และติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าได้ระบบชาร์จที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อทั้งรถและบ้านของคุณ
บริการของเรา
เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าราคาถูกแยก ณ ระนอง
EV Charger บ้านแยก ณ ระนอง
EV Charger ติดผนังแยก ณ ระนอง
EV Charger มาตรฐานแยก ณ ระนอง
EV Charger ราคาถูกแยก ณ ระนอง
สถานีชาร์จ EV, ที่ชาร์จรถ EVแยก ณ ระนอง
การติดตั้งสถานีชาร์จ EVแยก ณ ระนอง
เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าคอนโดแยก ณ ระนอง
ติดตั้ง EV Charger คอนโดแยก ณ ระนอง
ที่ชาร์จรถไฟฟ้าคอนโดแยก ณ ระนอง
EV Charger คอนโดแยก ณ ระนอง
ตู้ชาร์จรถไฟฟ้าแยก ณ ระนอง
การติดตั้งตู้ชาร์จรถไฟฟ้าแยก ณ ระนอง







ชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้านแยก ณ ระนอง
แยก ณ ระนอง (Na Ranong Square) เป็นห้าแยกที่เป็นจุดตัดกันระหว่างถนนรัชดาภิเษก ถนนพระรามที่ 3 ถนนสุนทรโกษา และถนน ณ ระนอง ในท้องที่แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
โดยในแนวถนนพระรามที่ 3 และถนนรัชดาภิเษก จะมีสะพานข้ามแยกขนาด 4 ช่องจราจร ต่อเนื่องไปยังแยกพระรามที่ 4 ไปลงบริเวณหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยในปัจจุบัน
คอสะพานฝั่งแยก ณ ระนองจะถูกรื้อถอน เพื่อขยายตัวสะพานไปถึงบริเวณโรงเรียนนนทรีวิทยา และสร้างทางแยกเลี้ยวขวาไปลงที่ถนนสุนทรโกษา(มุ่งหน้ากรมศุลกากร) โดยเริ่มปิดสะพานตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562